งานวิจัยชี้ 9 วิธีเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ

5101

พ่อแม่ยุคใหม่ล้วนคาดหวังให้ลูกโตมาเป็นคนดี และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ หัวใจสำคัญก็ต้องเกิดจาก การเลี้ยงดูและสร้าง mindset ที่ถูกต้องให้พวกเขาตั้งแต่ในวัยเด็ก

เราเลยได้รวบรวมงานวิจัยจากต่างประเทศเกี่ยวกับ วิธีการเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ และได้แบ่งเป็น 9 ข้อหลักๆ ดังนี้…

1. อย่าบอกลูกว่า “พวกเขาสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการ”

งานวิจัยของบริษัท C+R Research, ได้สำรวจวัยรุ่นชาวอเมริกันกว่า 400 คน ถามพวกเขาว่าอยากประกอบอาชีพอะไรในอนาคต ส่วนใหญ่ตอบว่า อยากเป็นนักดนตรี นักกีฬา และ เกมเมอร์

ซึ่งในความเป็นจริง งานเหล่านี้เป็นงานที่มีความต้องการต่ำ และมีโอกาสสำเร็จน้อย ตำแหน่งงานที่มีความต้องการสูง อยู่ในธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจเทคโนโลยี และธุรกิจก่อสร้าง อาชีพเหล่านี้ล้วนเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีกว่า และโอกาสสำเร็จที่มากกว่า

2. กินข้าวกันเป็นครอบครัว

อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, เด็กๆ ที่ได้กินข้าวร่วมกันกับครอบครัว ประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ มีอัตราท้องในวัยเรียน โรคซึมเศร้า และการใช้สารเสพติด ที่ต่ำกว่าเด็กคนอื่นๆ รวมไปถึง พวกเขายังมีคะแนนการเรียน และความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) ที่สูงกว่าเด็กคนอื่นๆ ด้วย

3. ตั้งกฏ กำหนดเวลาอยู่หน้าจอ

นักวิจัยพบ การใช้งานแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนนานเกินไป ส่งผลเสียต่อสมองของเด็กเล็ก โดยเฉพาะด้านการพัฒนาความสามารถ รวมถึงการโฟกัส การจดจำคำศัพท์ และทักษะทางสังคม

สมาคมกุมารแพทย์แห่งอเมริกา (AAP) ถึงกับออกมาเตือนว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 18 เดือน ไม่ควรมีเวลาอยู่หน้าจอเลย นอกจากการสนทนาทางวิดีโอเท่านั้น สำหรับเด็กอายุสองถึงห้าขวบ ขอแนะนำให้จำกัดเวลาอยู่หน้าจอไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนเด็กโตให้ระวังเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอ และการเข้าสังคม อย่าให้เวลาอยู่หน้าจอมาแทนที่กิจกรรมที่สำคัญเหล่านี้

4. พ่อแม่ทำงานนอกบ้าน

แน่นอนว่าการที่คุณสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลานั้นก็มีข้อดีและประโยชน์หลายอย่าง แต่มีงานวิจัยชิ้นนึงจาก Harvard Business School ชี้ว่า ลูกที่พ่อแม่ทำงานนอกบ้าน ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเป็นนายตัวเอง หรือได้ทำงานในตำแหน่งสูง และมีรายได้ที่มากกว่า

5. ให้ลูกๆ ทำงานบ้าน

ในงาน TED Talk ปี 2015, Julie Lythcott-Haims ผู้เขียนหนังสือชื่อ How to Raise an Adult และเป็นอดีตคณบดีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้อ้างถึง การศึกษาของ Harvard Grant Study ซึ่งพบว่า กลุ่มทดลองที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพมากที่สุด คือคนที่ “ทำงานบ้าน” ตั้งแต่เด็ก

6. สอนให้มีความอดทนรอคอย (Delayed Gratification)

การศึกษาวิจัยของ Walter Mischel เริ่มทดลองด้วยการนำเด็กอนุบาลที่มีอายุเฉลี่ย 4-6 ปี นำมาไว้ในห้องที่เตรียมขนมหวานให้เด็กเลือกซึ่งได้แก่ Oreo Cookie และ Marshmallow โดยมีสัญญาว่าถ้าเด็กคนใดจะกินขนมหวานเหล่านั้นทันทีก็จะได้เพียงชิ้นเดียว แต่ถ้ารออีก 15 นาทีก็จะได้ถึงสองชิ้น มีเด็กบางคนหยิบกินทันทีที่ผู้วิจัยออกจากห้อง

มีเด็กที่เข้าร่วมในการศึกษาวิจัยนี้กว่า 600 คน เด็กส่วนน้อยเท่านั้นที่หยิบขนมกินทันทีเมื่อผู้วิจัยออกจากห้อง ที่เหลือค่อยๆ ทยอยเข้ามาหยิบกิน แต่มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่อดทนรอคอยได้ถึง 15 นาทีเพื่อจะได้ขนม 2 ชิ้น การทดสอบครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1970 เรียกว่า “Marshmallow Test.”

Follow-up Study พบว่า เด็กกลุ่มที่มีความสามารถในการอดทนรอคอยเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ผู้ปกครองบรรยายว่าบุตรหลานของเขาซึ่งอยู่ในระยะวัยรุ่นเป็นผู้มีสมรรถนะ หรือความสามารถทั่วไปสูงกว่าอีกกลุ่ม
การศึกษาครั้งที่สองเมื่อปี ค.ศ. 1990 พบว่าเด็กกลุ่มที่มีความสามารถในการอดทนรอคอยมีคะแนน SAT สูงกว่าอีกกลุ่ม

7. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

นักวิจัยจาก New York University School of Medicine พบว่าการที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเป็นทารก ช่วยให้ลูกมีทักษะด้านภาษา การอ่านออกเขียนได้ และการอ่านหนังสือ ดีกว่าเพื่อนๆ คนอื่นในวัยประถม

และมีโอกาสที่เด็กคนนั้นจะโตไปมีนิสัยรักการอ่าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพวกเขามากในภายหลัง ตามที่ดร.อลิซซัลลิแวน ผู้ซึ่งศึกษา และติดตามแง่มุมต่างๆ ของผู้คนกว่า 17,000 คนในอังกฤษ

“เราได้นำเด็กที่มีภูมิหลังทางสังคมเหมือนกัน และมีความสามารถใกล้เคียงกัน มาทำการทดสอบ แล้วพบว่าเด็กที่มีนิสัยรักการอ่าน มีผลการทดสอบที่สูงกว่าเด็กที่อ่านหนังสือน้อยกว่า”, เธอเขียนให้กับ The Guardian

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นิสัยรักการอ่านเชื่อมโยงกับความก้าวหน้าทางสติปัญญาที่มากขึ้นทั้งในด้านคำศัพท์การสะกดคำและคณิตศาสตร์

8. สนับสนุนให้ลูกเดินทางท่องเที่ยว

สมาคมการเดินทางของนักเรียนและเยาวชน (SYTA) ได้ให้ครูในสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,432 คน ที่ให้เครดิตการเดินทางระหว่างประเทศของนักเรียน ทำแบบสอบถาม ผลสรุปออกมาว่า การเดินทางไปต่างประเทศส่งผลกระทบต่อนักเรียนในรูปแบบที่ดีมากมาย อาทิเช่น:

  1. ต้องการเดินทางมากขึ้น (76%)
  2. เพิ่มความอดทนต่อวัฒนธรรมและชาติพันธุ์อื่น ๆ (74%)
  3. เพิ่มความเต็มใจที่จะเรียนรู้ / สำรวจ (73%)
  4. เพิ่มความเต็มใจที่จะลองอาหารต่างๆ (70%)
  5. เพิ่มความเป็นอิสระความภาคภูมิใจในตนเองและความมั่นใจ (69%)
  6. ความอยากรู้อยากเห็นทางปัญญามากขึ้น (69%)
  7. เพิ่มความอดทนและความเคารพ (66%)
  8. ปรับตัวได้ดีขึ้น (66%)
  9. เป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้น (51%)
  10. เพิ่มความน่าสนใจให้กับการรับเข้าเรียนในวิทยาลัย (42%)

หากคุณไม่สามารถส่งลูกชายหรือลูกสาวของคุณไปต่างประเทศหรือพาพวกเขาไปต่างประเทศได้ก็ไม่เป็นไร จากผลสำรวจพบว่า การเดินทางในประเทศ ก็ได้ผลลัพท์ที่เป็นประโยชน์ใกล้เคียงกัน

9. ปล่อยให้พวกเขาล้มเหลวบ้าง

แม้อาจจะฟังดูขัดกัน แต่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้ปกครองสามารถทำให้ลูกได้ ตามที่ Dr. Stephanie O’Leary นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและผู้เขียน “Parenting in the Real World: The Rules Have Changed”

ความล้มเหลวเป็นผลดีสำหรับเด็กในหลายระดับ

ประการแรกการประสบกับความล้มเหลวช่วยให้ลูกของคุณเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์ชีวิตที่จำเป็นให้กับเขาหรือเธอ ในการสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างจริงใจ การถูกท้าทายยังปลูกฝังความจำเป็นในการทำงานหนักและความพยายามอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไปเด็กๆ ที่ประสบกับความพ่ายแพ้จะสร้างความยืดหยุ่นและเต็มใจที่จะทำภารกิจและกิจกรรมที่ยากลำบากมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่กลัวที่จะล้มเหลว

 

Source: https://www.businessinsider.com/science-says-most-successful-kids-have-parents-who-do-9-things-10#5-make-them-work-5