ทำไมวัยรุ่นยุคใหม่ถึงไม่ต้องการ ซื้อบ้าน หรือ ซื้อรถ?

12866

ในปัจจุบันหน่วยวัดความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีบ้านหลังใหญ่ หรือมีรถยุโรปหรูๆ สักคัน สิ่งเหล่านี้คือความคิดยุคโบราณ

จากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนที่อายุ 30-35 ปีในปัจจุบัน มีอัตราการซื้อบ้านและรถยนต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความจริงก็คือไม่ใช่แค่อสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์ส่วนตัว ที่มีอัตราการซื้อลดลง แต่รวมไปถึงสินค้าที่มีราคาสูงๆ ด้วยเช่นกัน ในประเทศอเมริกากลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี เลยถูกเรียกว่า ’the generation of renters’ หรือ เจนเนอเรชั่นแห่งการเช่า นั้นเอง

ปัญหานี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

มีนักสังคมวิทยาบางคนได้วิเคราะห์ว่า เนื่องจากเยาวชนในยุคนี้ ต้องพบเจอกับปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความกลัวการกู้เงินอย่างรุนแรง แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัจจัยชิ้นสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่ซื้อ สิ่งที่ทำให้เยาวชนยุคนี้แตกต่างจากยุคพ่อแม่ของพวกเขาก็คือ พวกเขามีความคิดที่แตกต่าง และตีความนิยามของความสำเร็จต่างไปจากเดิม และนี้คือความคิดของพวกเขา

  • คนประสบความสำเร็จไม่ซื้อทรัพย์สิน พวกเขาใช้บริการ หรือ เช่า
  • ถ้าคุณต้องการจะดูประสบความสำเร็จ จงลงทุนไปกับประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งของ เช่น การท่องเที่ยว เล่นกีฬาผาดโผน ก่อตั้งบริษัท (startup) เป็นต้น

ประเด็นก็คือ ตอนนี้คนไม่ต้องการความเจริญรุ่งเรืองหรือความมั่นคง สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือตารางเวลาที่มีความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระทางการเงิน

พวกเขาไม่มีความสนใจในการครอบครองวัตถุ

มีความสุข

ทำไมต้องมีรถส่วนตัว ในเมื่อมีบริการแท็กซี่? แท็กซี่ก็เหมือนรถส่วนตัวแถมยังมีคนขับรถให้ด้วย และราคาก็ไม่แพงเท่ากับราคาซื้อรถส่วนตัว ทำไมต้องซื้อบ้านพักตากอากาศสวยๆ ในเมื่อเราสามารถหาที่พักสวยๆ ที่ไหนก็ได้บนโลกผ่านเว็บ Airbnb คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมากมายไปสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป เนื่องจาก:

  • คุณไม่รู้ว่าจะอยู่ที่แห่งนี้นานเท่าไหร่
  • คุณอาจจะต้องผ่อนบ้านนานถึง 30 ปี หรือคุณสามารถใช้ชีวิตทั้งชีวิตของคุณในสถานที่เช่าอยู่ได้
  • คุณอาจจะเปลี่ยนงานของคุณในไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าคุณเช่าอยู่ คุณสามารถย้ายไปอยู่แถวๆที่ทำงานได้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบ้านหลังเก่า

*จากการสำรวจของ Forbes คนหนุ่มสาวยุคนี้เปลี่ยนงานทุกสามปีโดยเฉลี่ย

แนวคิดการอยากเป็นเจ้าของเริ่มหมดไป

James Hamblin คอลัมนิสต์แห่งนิตยสาร The Atlantic ได้อธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า “กว่าทศวรรษที่ผ่านมา นักจิตวิทยาได้ทำการวิจัยจำนวนมาก ที่พิสูจน์ว่า ในแง่มุมของความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี การใช้จ่ายเงินไปกับประสบการณ์ใหม่ นำมาซึ่งความสุขที่มากกว่าการซื้อสิ่งของชิ้นใหม่

ประสบการณ์ช่วยให้พวกเขาได้พบเพื่อนใหม่ๆ

วัยรุ่น

การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน สามารถทำให้ผู้คน รู้สึกดี หรือ รู้สึกแย่ได้ การได้พูดคุยกับบุคคลอื่นๆ และการมีเพื่อนเยอะสามารถทำให้คุณเป็นคนที่มีความสุขขึ้นได้ แล้วการที่คุณคุยโวโอ้อวดถึงยี้ห้อรถยุโรปที่คุณขับ หรือบ้านพักตากอากาศหลังโตริมชายหาดของคุณ ผมเชื่อว่าคงเป็นหัวข้อการสนทนาที่อีกฝ่ายไม่พอใจหรือไม่สนใจเป็นแน่แท้ แต่ถ้าคุณพูดถึงประสบการณ์สุดเหวี่ยงที่คุณได้พบเจอหลังจากเดินทางไปประเทศแปลกๆ คงเป็นหัวข้อการสนทนาที่น่าสนใจกว่าเยอะเลย

การซื้อของทำให้พวกเขาเป็นกังวล

สิ่งไหนที่เราเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกของราคาแพงๆ มันยิ่งจะทำให้เรากังวลเกี่ยวกับสภาพของมัน หากคุณซื้อรถส่วนตัวคันใหม่ คุณจะสะดุ้งทุกครั้งที่สัญญาณกันขโมยของรถคุณดัง หากคุณซื้อบ้านและมีของล้ำค่าเต็มบ้านไปหมด คุณก็จะกลัวการถูกขโมยขึ้น ไม่ต้องพูดถึงเวลาที่รถคันใหม่ของคุณมีรอยขีดข่วน หรือทีวีสุดแพงที่บ้านของคุณเสียหลังจากใช้งานไปได้แค่ปีเดียว แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถนำเอาประสบการณ์ของคุณไปจากตัวคุณได้

พวกเขามองว่าทุกครั้งที่มีการซื้อเกิดขึ้น ราคาของสินค้าก็จะต่ำลง

ในยุคพ่อแม่ของพวกเรา พวกเขาไม่สามารถที่จะเดินทางท่องเที่ยวได้บ่อยเท่ากับเรา โอกาสที่จะได้ใฝ่หาความสุขจากการท่องเที่ยวก็แทบไม่มี พวกเขาไม่ได้มีโอกาสมากมายที่จะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงนำเงินไปลงทุนกับบ้านและรถยนต์ แต่สินค้าเหล่านี้ ทุกครั้งที่มีการซื้อเกิดขึ้น ราคาของสินค้าก็จะลดลง ราคาของบ้านหรืออพาร์ทเม้นก็จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีแต่ประสบการณ์เท่านั้น ที่จะสามารถอยู่กับเราไปตลอด และไม่มีใครขโมยมันไปได้

ประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวที่มันจะไม่ลงไปตามราคาของตลาด และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้

Source : Brightside.me