สิ่งที่คุณควรเรียนรู้จาก “ปณิธานปีใหม่” ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

5963

เมื่อ 1 ปีที่แล้ว ซักเคอร์เบิร์กได้โพสต์ลงบนเฟสบุ้คของเขาว่า “ในทุกๆ ปี ผมจะท้าทายตัวเองให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเติบโตไปในด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเฟสบุ๊ค” สิ่งที่เขาได้ทำนั้น มีทั้งการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ และการสร้างสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ซึ่งสิ่งท้าทายเหล่านี้ล้วนมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่แฝงอยู่

หลังจากปี 2016 ได้ผ่านไปได้ไม่นาน ชายผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊คผู้นี้ก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า ในปี 2017 นี้ เขาจะเข้าไปเยี่ยมและพบปะผู้คนให้ได้ทุกรัฐ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือการ เรียนรู้ว่าคนทั่วประเทศนี้มีชีวิตความเป็นอยู่และมีการวางแผนอนาคตกันอย่างไรบ้าง

ความท้าทายเหล่านี้ทำให้มาร์กเกิดแรงบัลดาลใจในการตั้งปณิธานขึ้นมาในแต่ละปี และมันไม่ได้ช่วยเขาเพียงแค่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่กลับได้ประโยชน์จากมันในหลาย ๆ ด้านเลยทีเดียว อย่างเช่นการเรียนภาษาจีนกลางเมื่อปี 2010 มันช่วยให้เขาสามารถสื่อสารด้านธุรกิจได้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ตอนที่เขาเริ่มสร้าง A.I. ขึ้นมานามว่า จาวิส(Javis) เพื่อช่วยดูแลบ้านของเขา เขาก็ได้พบวิธีที่จะนำทักษะที่มีเหล่านี้และเทคโนโลยีปัจจุบันเข้ามาปรับใช้ให้สามารถดำเนินชีวิตได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก

เราไปชมกันว่าปณิธานปีใหม่ของซักเคอร์เบิร์ก มีอะไรกันบ้างและสิ่งเหล่านี้แฝงไปด้วยข้อคิดอะไรบ้าง?

1. นำเทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ในปี 2016 ธีมปณิธานปีใหม่ของซักเคอร์เบิร์ก คือ “การคิดค้น” ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาได้ท้าทายตัวเองในการสร้าง A.I. ที่ช่วยดูแลบ้านขึ้นมา เมื่อเดือนธันวาคม ซักเคอร์เบิร์กก็ได้สร้าง จาวิส(Jarvis) สำเร็จ โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง Iron Man โดยมันสามารถควบคุมระบบเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เปิดเพลง จดจำหน้าผู้คน และเล่นกับลูกสาวอายุ 2 ขวบของเขาได้อีกด้วย การได้นำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเอง ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ขึ้นมา และช่วยทำให้กิจวัตรประจำวันของเราง่ายขึ้นด้วย

2. ใฝ่หาความรู้ด้วยตัวเอง

ในสมัยนี้ คุณไม่จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อจะเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ เพียงแค่ลองศึกษาข้อมูลรอบๆ ตัวแล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ดูก็ได้ผลแล้ว ในปี 2015 มาร์กได้ท้าทายตัวเองด้วยการอ่านหนังสือเล่มใหม่ทุก 2 สัปดาห์ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งเรื่องของ ความเชื่อ ประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยี เขาได้ โพสต์ ลงบนเฟสบุ๊คว่า “หนังสือช่วยทำให้เราได้รับความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างเต็มเปี่ยม และทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับมันได้มากกว่าสื่อใดๆ”

3. รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน

ในโลกที่เราสามารถส่งข้อความกล่าว “ขอบคุณ” ผ่านอีเมล์หรือแชทได้อย่างง่ายดายนั้น ในปี 2014 ซักเคอร์เบิร์กตัดสินใจที่จะส่งข้อความขอบคุณอย่างจริงใจให้กับผู้คนในทุก ๆ วัน เขากล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า “มันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อผมมาก เพราะผมเป็นคนที่ชอบตัดสินคน” การแสดงความรู้สึกขอบคุณง่ายๆ แบบนี้ทุกวันจะทำให้คุณมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีความจริงใจมากขึ้น

4. พบปะผู้คนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน วันละคน

อย่าให้กำแพงของสถานที่ทำงานมาเป็นตัวปิดกั้นการได้พบปะผู้คน ใช้เวลานอกเหนือจากงานในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนบ้านหรือคนในแถบระแวกนั้นเพื่อให้ได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ มากขึ้น เมื่อปี 2013 มาร์กตั้งปณิธานไว้ว่าในแต่ละวันเขาจะนัดพบปะกับผู้คนใหม่ๆ ข้างนอกบริษัท ซึ่งพอผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เขาบอกกับนิตยสาร Fortune ว่า “มันกำลังไปได้สวยเลยล่ะ ผมได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างให้กับชุมชน และพยายามที่จะเข้าหาพบปะผู้คนในวงกว้างให้มากขึ้น”

5. ใส่ใจในรายละเอียด

จากรายงานของ Business Insider กล่าวว่า การที่ซักเคอร์เบิร์กเป็นถึงผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท ทำให้เขาไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆต่างๆ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสำคัญต่อเฟสบุ๊คมากก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ในปี 2012 เขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่า เขาจะเขียนโค้ดทุกวันเพื่อปฏิสัมพันธ์กับเหล่าพนักงาน และทำความเข้าใจกับเฟสบุ๊คให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

6. เสียสละ

ในปี 2012 ซักเคอร์เบิร์ก ได้ท้าทายตัวเองด้วยการทานมังสวิรัติและทานเนื้อสัตว์ที่เขาต้องฆ่าเองกับมือเท่านั้น เขาโพสลงบนเฟสบุ๊คว่า “ในการจะรู้ซึ้งถึงคุณค่า ผมจึงต้องการที่จะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหารที่ผมกิน รวมถึงสัตว์ที่มอบทั้งชีวิตของมันให้ผมได้กิน” ลองรู้จักคุณค่าด้วยการลดละในสิ่งที่คุณเคยไม่เห็นค่า เพื่อให้ได้เข้าใจว่าชีวิตนั้นมีค่ามากแค่ไหนสำหรับคุณ

7. ทำอะไรที่ประเทืองปัญญา

เมื่อปี 2010 ซักเคอร์เบิร์ก ได้ท้าทายตัวเองด้วยการเรียนภาษาจีนกลาง ซึ่งเขาไม่ได้ทำมันเพียงเพื่อสื่อสารในโลกธุรกิจเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าภรรยาของเขาพูดภาษาจีน และเมื่อปี 2015 เขาได้แสดงความสามารถด้านภาษาที่มหาวิทยาลัย Tsinghua ในกรุงปักกิ่ง ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ถามคำถามเป็นภาษาจีน ผลที่ได้ก็คือ ซักเคอร์เบิร์กสามารถลบล้างกำแพงภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ได้ รวมไปถึงการลบปมด้อยในอดีตที่เขาไม่สามารถพูดภาษาอื่นได้เลย

8. หาวิธีใหม่ๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้เหล่าพนักงาน

เมื่อปี 2009 ซักเคอร์เบิร์กตัดสินใจเปลี่ยนจากการใส่เสื้อยืดและเสื้อกั๊กมาเป็นการสวมเน็คไท ในช่วงภาวะวิกฤติ ขณะที่หลายๆบริษัทในสหรัฐและทั่วโลกกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เขาจึงได้ใช้เน็คไทนี้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความจริงจังและการให้ความสำคัญอย่างมากต่อบริษัทของเขาในปีนั้น เพื่อเรียกขวัญกำลังใจแก่พนักงานและเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรของเขาเอง

 

Source : entrepreneur