เคล็ดลับทางทหารเหล่านี้ สามารถบอกได้ว่าเขากำลัง “โกหก” คุณอยู่หรือไม่ ?!

2675

คาร์ล อีริคสัน อดีตจ่าสิบเอกประจำหน่วยทหาร กรีนเบอเรต์(หน่วยแทรกแทรงขั้นสุดยอดของสหรัฐ) ตลอดชีวิตการเป็นทหารในหน่วยกรีนเบอเรต์ของคาร์ลนั้น เขาต้องเจอกับการโกหกมากมาย เรียกว่าในทุกๆรูปแบบเลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่เหล่าผู้ก่อการร้ายต้องการปกปิดสถานที่ซ่อนของคนร้าย หรือ อาจจะเป็นการพูดเกินจริงในเรื่องความสามารถทางทหารของเหล่ากองกำลังพันธมิตร หรือแม้แต่ เหตุการณ์ที่คนในทีมของเขาพยายามปกปิดว่าสถานการณ์มันย่ำแย่แค่ไหนโดยการทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอีกมากมายหลายเหตุการณ์ที่คาร์ลต้องพบเจอ

ตลอดชีวิตการทำงานของเขานั้น คาร์ลได้เรียนรู้วิธีจับโกหกง่ายๆจาก John E.Reid และผู้ช่วยของเขา “ทุกคนบนโลกนี้ ล้วนมีความสามารถในการจับโกหก ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังจะไปทำสงคราม หรือ กำลังจะจ้างพนักงานใหม่ก็ตาม” และนี่คือเคล็ดลับที่ได้จากการสัมภาษณ์คุณคาร์ล

ลืมทุกอย่างที่เคยเห็นในหนังซะ

ในภาพยนตร์หรือรายการทีวีทั้งหลาย พวกเขาจะเอาแต่พูดว่าให้คุณสังเกตไปที่ดวงตา เช่น ‘ถ้าเขามีสายตาวอกแวก มองไปมุมบนขวาหรือมุมบนซ้าย เขาโกหกแน่นอน’ ซึ่งก็ใช่ ที่พูดมามันก็จริงบางส่วนแหละ แต่!! คุณต้องรู้ไว้ด้วยนะที่พวกเขาทำอย่างงั้นมันอาจเป็นเพราะพวกเขาแค่กำลังกลัวและประหม่าไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังโกหกอยู่ สิ่งที่คุณควรรู้ไว้เลยก็คือ ความจริงของแต่ละคนนั้นมันแตกต่างกัน

พยายามใช้สื่อ Social ให้เป็นประโยชน์

ทำการศึกษาคนที่คุณจะไปสนทนาด้วย ศึกษาว่าเขาชอบอะไรและสนใจในเรื่องใดอยู่ และจากนั้นจงเรียนรู้เรื่องจริงเกี่ยวกับตัวเขาซะ เช่น ไปที่เพจหรือโซเชียลมีเดียของเขา พยายามค้นหาว่าจะมีเรื่องไหนที่เขาจะไม่มีวันโกหกแน่นอนเมื่อพูดถึง : ชีวิตวันหยุด งานเลี้ยงฉลอง หรืออะไรทำนองนั้น และที่สำคัญพยายามมองหาเรื่องที่คุณคิดว่าเขาจะอึดอัดเมื่อเขาพูดถึงมัน

เริ่มต้นบทสนทนาด้วยเรื่องสนุกๆก่อน

ถามคำถามง่ายๆที่คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว จากนั้นสังเกตภาษากายและท่าทางของเขาเมื่อเขาตอบคำถาม เช่น ‘หน้าร้อนนี้คุณไปเที่ยวไหนหรือเปล่า?’ ถ้าเขาตอบกลับมาด้วยความจริงเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนของเขา ประกอบกับอาการที่อาจจะดูกระวนกระวายเล็กน้อย ให้คุณสัณนิฐฐานไว้ก่อนเลยว่าอาการลักษณะนี้เป็นเพราะเขาแค่กำลังประหม่าหรือกังวลใจ ไม่ได้แปลว่าเขากำลังโกหก แต่หลังจากนั้นให้คุณสังเกตไปที่ดวงตาของเขาว่าเป็นอย่างไรมีอาการวอกแวกบ้างไหม พร้อมทั้งสังเกตว่าเขาได้กลืนน้ำลายก่อนพูดหรือเปล่า และอย่าลืมสังเกตลักษณะท่าทางการนั่ง ว่าเขากำลังเอนไปข้างหลังหรือเอนไปข้างหน้าใช่หรือไม่?

ค่อยๆ ติดเครื่องให้ร้อนขึ้น

ขั้นตอนถัดมา คือเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยเริ่มด้วยเรื่องที่คุณคิดว่าเขาจะต้องโกหกคุณอย่างแน่นอน แต่คุณก็ต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน ผมแนะนำว่าอาจจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาที่คุณสามารถหาอ่านได้จากเว็บบริษัทหรือโซเชียลมีเดียของเขา ซึ่งถ้าเกิดเขาตอบคำถามของคุณกลับมาด้วยการโกหก ให้คุณพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงของกิริยาท่าทางและน้ำเสียงของเขาว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

เริ่มเข้าประเด็นได้เลย

ณ จุดๆนี้ คุณน่าจะพอทราบได้บ้างแล้วว่าเมื่อเวลาที่เขาพูดถึงความจริง เขาจะมีกิริยาท่าทางและรูปแบบการพูดเป็นเช่นไร และตอนนี้แหละที่คุณจะสามารถถามคำถามที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบก็ได้ โดยพยายามใช้สิ่งที่คุณรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาเพื่อที่จะจับโกหก ซึ่งนี่จะเป็นโอกาศอันดีที่คุณจะได้พิสูจน์ว่าเขากำลังโกหกอยู่หรือเปล่า?

ลองให้ครบสามทาง

หากคุณกำลังคิดว่ามีบางคนกำลังโกหกอยู่ ลองตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแต่ถามเขาด้วยสามวิธีที่แตกต่างกัน คุณอาจจะกำลังคิดว่าผมจะให้สังเกตปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันของเขา แต่เปล่าเลย ตรงกันข้ามซะอีก สิ่งที่ผมพยายามจะบอกคุณก็คือ : เขามีลักษณะท่าทางตอบกลับที่ดูเป็นสคริปต์หรือเปล่า? ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ เช่น เขาดูระมัดระวังหรือพยายามใช้คำพูดเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการตอบกลับหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นนักการเมือง พวกเขาเก่งกันมากในทักษะด้านนี้ ถ้าพวกเขาไม่ต้องการให้คุณรู้อะไรบางอย่าง พวกเขาสามารถเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้นได้เลยและหาคำตอบมาตอบแทนได้อย่างแนบเนียน มันจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้เตรียมตัวและเตรียมความพร้อมมาอย่างดี แต่นั่นแหละคือสัญญานที่บ่งบอกว่าเขากำลังโกหกคุณอยู่ หรือไม่เขาก็พูดมันออกมาไม่หมด”

สังเกตความเร็วของเขา

สังเกตความเร็วในการตอบคำถาม ว่าเขาได้ใช้เวลาคิดบ้างหรือเปล่า? หรือตอบคุณในทันทีเลย? ลองจินตนาการถึงเหตุการณ์นี้ดูนะครับ เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา จากนั้นพ่อแม่ก็ถามคำถามหนึ่งกับเขา แต่เด็กคนนี้กลับตอบคำถามนั้นได้อย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ได้ใช้เวลาในการคิดแม้แต่น้อย เหล่าคุณพ่อและคุณแม่ครับ พวกคุณควรรู้ไว้ได้เลยว่าเด็กคนนี้ได้เตรียมพร้อมรอคำถามของคุณอยู่แล้ว

หาหูและตาสักชุดไว้ช่วยคุณอีกแรง

ถ้าเป็นไปได้ คุณควรจะหาคนมาสังเกตการณ์ช่วยคุณอีกแรง เช่น หาใครสักคนมาแสดงเป็นผู้ช่วยจอมยุ่งที่เอาแต่วุ่นอยู่กับแล็ปท็อปของเขา พร้อมจัดตำแหน่งให้นั่งหันข้างห่างออกไปซักหน่อย หรือจะให้มารับบทเป็นช่าง IT ก็ไม่เลวเลยแหละ จากนั้นเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ของคุณจะช่วยให้คู่สนทนาขนั้นลืมไปเลยว่ามีพวกหน้าม้าเหล่านั้นอยู่ใกล้ๆ และพวกเขาเหล่านั้นจะช่วยให้คุณมีหูมีตาอีกชุดที่ช่วยสอดส่องและยังทำให้คุณได้สังเกตกิริยาท่าทางของคู่สนทนาของคุณได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยในกรณีที่คุณอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไปได้อีกด้วย เช่น คุณกำลังสังเกตดวงตาของคู่สนทนาแต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังสั่นขาของเขาไปด้วย”

เป้าหมายสูงสุด

สุดท้ายแล้ว จุดประสงค์ของทุกขั้นตอนทั้งหมดที่ผ่านมาก็นั้นเพื่อช่วยให้คุณมีการตัดสินใจที่ดีขึ้นในการที่จะไว้ใจใครสักคน และสำหรับประเด็นหลักส่วนใหญ่เลยก็คือ คุณนั้นไม่อยากที่จะยุ่งกับเหล่าคนโกหกแน่ๆ แต่คุณก็ไม่อยากที่จะพลาดโอกาสดีดีด้วย เช่น อาจจะเป็นการตัดสินคนที่ผิดพลาด เพราะบางทีเจ้าของดวงตาวอกแวกเจ้าเล่ห์เหล่านั้น เขาอาจเป็นแค่เพียงคนขี้ประหม่าคนนึงก็ได้และวิธีทั้งหลายที่ได้กล่าวมาจะช่วยป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขี้นนั่นเอง

 

Source : Entrepreneur