6 แนวทางสร้างคุณให้กลายเป็น “คนถ่อมตน”

4868

ความถ่อมตน นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการสานสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เราอาจจะรู้สึกชื่นชมลักษณะของการถ่อมตัวของผู้อื่น แต่เรากลับไม่ค่อยชื่นชมตัวเราเองเท่าไหร่นัก จริงไหม?

แต่ความถ่อมตัวนั้นสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของคุณได้ ไม่แพ้คุณลักษณะของชีวิตที่ดีในแง่อื่นๆ เลย กล่าวคือ การมีความถ่อมตนในระดับสูงมักจะถูกเชื่อมโยงกับการมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน การมีสุขภาพที่ดี การมีสังคมในที่ทำงานที่กลมเกลียว มีชีวิตครอบครัวที่สุขสันต์ยืนยาว รวมถึงการมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวาง โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนเสริมสร้างสังคมให้แข็งแกร่งทั้งสิ้น ซึ่งจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหัวใจสำคัญของการรู้จักถ่อมตนเลยก็ว่าได้ “ความถ่อมตนคือคุณลักษณะที่ช่วยเสริมสร้างสังคมอันดี” ดร.โจชัว ฮูค ผู้ศึกษาทางด้านจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย North Texas ได้กล่าวไว้

จากการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง ดร.โจชัวและนักวิจัยหลายท่าน ได้ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยตรวจสอบข้อมูลประวัติของผู้คนบนเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์เพื่อหาผู้ที่จะสามารถมาเป็นคู่เดทของพวกเขาได้ จากนั้นให้ประเมินความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะออกเดทกับผู้คนเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งนอกเหนือจากข้อมูลความสนใจและประวัติทั่วไปแล้ว ข้อมูลของผู้คนเหล่านั้นยังประกอบไปด้วยตัวชี้วัดของลักษณะนิสัยหลายอย่าง เช่น การเป็นคนเปิดเผย (Extrovert) การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ความมั่นคงทางอารมณ์ และความถ่อมตัว นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้รับข้อมูลของคนๆ หนึ่งที่ได้รับการประเมินค่าว่า “มีความถ่อมตัวสูงมาก” (ร้อยละ 87) นักศึกษากลุ่มที่สองก็ได้รับข้อมูลของคนๆ เดียวกัน เพียงแต่ครั้งนี้ได้รับการประเมินค่าว่า “ไม่มีความถ่อมตัว” (ร้อยละ 24) ซึ่งผลสรุปออกมาว่า นักศึกษากลุ่มที่ได้รับการแจ้งข้อมูลว่า ว่าที่คู่เดทคนนั้นมีความถ่อมตัวสูงมีแนวโน้มที่จะยอมตกลงรับเป็นคู่เดทด้วยสูงกว่าผู้ที่ได้รับข้อมูลว่าว่าที่คู่เดทคนดังกล่าวไม่ค่อยถ่อมตัวนัก

เขากล่าวว่า งานวิจัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตนของการเป็นคนถ่อมตัวนั้นยังอยู่ในช่วงของการริเริ่มเท่านั้น แต่เขามั่นใจว่า ความเชื่อมโยงลึกซึ้งระหว่างความถ่อมตัวและความสุขจะได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นแน่นอน และที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ก็คือกลวิธีในการเสริมสร้างความถ่อมตัวให้กับตนเอง เพื่อประโยชน์สุขของคนรอบข้าง ทั้งในที่ทำงาน ที่บ้าน และท้ายที่สุด ในสังคมโลก

1. ถามหาข้อเสนอแนะและความคิดเห็น

ดร.ดอน เดวิส ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Georgia State และผู้อำนวยการสถานปฏิบัติการ Humility and Advancement of Positive Psychology Interventions (HAPPI) ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้กล่าวไว้ว่า ความถ่อมตนสามารถแบ่งได้เป็นสองรูปแบบ นั่นคือ ความถ่อมตัวระหว่างบุคคล ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการให้ความสนใจที่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง ในขณะที่ความถ่อมตัวระดับบุคคลจะให้ความสำคัญกับความเข้าใจในตนเองอย่างถ่องแท้มากกว่า

วิธีการก็คือ ให้เพื่อนสนิทหรือผู้คนที่ใกล้ชิดกล่าวถึงสามสิ่งในตัวคุณที่พวกเขาชื่นชอบ และอีกสามสิ่งที่คุณยังต้องการพัฒนา โดย ดร.ดอน ได้กล่าวว่ามันเป็นเรื่องดีที่คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจในข้อดีของตัวเอง ตราบใดที่คุณตระหนักถึงมันและพยายามที่จะพัฒนาข้อด้อยของตัวเองไปด้วย

2. เผชิญหน้ากับอคติของตนเอง

ในคลาสเรียนฝึกฝนความถ่อมตน ดร.โจชัวได้ส่งเสริมให้นักเรียนของเขาได้ศึกษาและเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ที่หลากหลาย หรือไม่ก็เรียนรู้วัฒนธรรมที่พวกเขารู้สึกว่าไม่เข้าใจ หรือแทบไม่รู้จักเลย มีนักเรียนคนหนึ่งในชั้นรู้สึกไม่ชอบใจ และมักจะมีอคติกับผู้ที่สูงวัยกว่า เธอได้รับมอบหมายงานให้ไปเยี่ยมชมบ้านพักคนชรา และสัมภาษณ์ผู้อาศัยเกี่ยวกับชีวิตในอดีตและปัจจุบันของพวกเขา

“จุดประสงค์คือเพื่อให้ได้รับฟังและเรียนรู้” เขากล่าว “ไม่ใช่เพื่อโต้เถียงและพิสูจน์หรือยืนยันข้อสันนิษฐานของตนเอง” สมมติว่าหากคุณมีความเห็นในแง่ลบต่อศาสนาหนึ่งๆ ให้ลองสอบถามหรือสัมภาษณ์นักปฏิบัติของศาสนานั้นๆ หรือลองเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาดู หลังจากนั้นให้ลองพิจารณาความเหมือนมากกว่าความแตกต่างจากตัวเอง ดร.โจชัว ได้กล่าวเสริมว่า “ความถ่อมตัวเป็นเรื่องของการเปิดใจ”

3. เริ่มต้นด้วยการถาม

พอล ชูมัคเกอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Can’t Not Do: The Compelling Social Drive That Changes Our World และเป็นผู้ก่อตั้ง Social Venture Partners ซึ่งเป็นเครือข่ายของผู้นำที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั่วโลก ได้กล่าวว่า เขามักจะเริ่มการประชุมใดๆ ก็ตามด้วยคำถามมากว่าทางออกของปัญหา การพูดถึงสิ่งที่ไม่รู้นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ความถ่อมตัวมาช่วย เขาเชื่อว่า “คำถามที่ดีข้อหนึ่ง มีค่าเท่ากับคำตอบที่ดีถึง 100 คำตอบ” และความถ่อมตัวจะทำให้ผู้คนในห้องประชุมรู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้น เนื่องจากมันจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้ามามีส่วนร่วม และมาร่วมมือกันในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ถ้าหากคุณคิดว่าตัวเองรู้ทุกสิ่ง แล้วก็ทำตัวเหมือนกับรู้ทุกอย่างจริงๆ ผู้คนก็จะเริ่มถอยห่าง และจะส่งผลให้งานไม่สามารถดำเนินให้เสร็จได้เร็ว หรือดีเท่าที่ควร”

4. เป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ

คุณอาจตั้งคำถามได้เป็นร้อยเป็นพัน แต่มันก็เท่านั้น และคงไม่เกิดผลดีใดๆ หากคุณไม่ได้ตั้งใจฟังคำตอบของผู้อื่นเลย การฟังไม่ใช่การบังคับว่าคุณจะต้องเห็นด้วยอยู่เสมอ แต่มันจะช่วยให้คุณสามารถลดระดับความหยิ่งทระนงลงได้ เพราะความคิดเห็นของคุณก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าความคิดเห็นของใครคนใด และหลังจากที่ใครสักคนได้แบ่งปันความเห็นหรือประสบการณ์ของพวกเขาแล้ว ก็ขอให้ใช้เวลาในการทำความเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดให้ดีเสียก่อนจึงค่อยพูดแสดงความคิดเห็นต่อไป

5. ยอมรับข้อด้อยของตนเอง

ชูมัคเกอร์ ได้แนะนำไว้ว่า จงยอมให้ตัวเองรู้สึกถ่อมตัวจากประสบการณ์ เนื่องจาก “ถ้าหากคุณไม่เคยทำผิดพลาดในการทำงานบ้างเลยล่ะก็ อาจหมายความว่าคุณไม่ได้ทำงานอย่างจริงจัง หรือไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างที่ควรเลย” ความถ่อมตนจะเปิดโอกาสให้คุณได้เปิดรับความท้าทายโดยที่ไม่มีความกลัวการผิดพลาดมาเป็นอุปสรรค และเมื่อไหร่ก็ตามที่ความผิดพลาดเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้เรียนรู้จากมันและนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สิ่งที่ทำออกมาดีขึ้นในคราวถัดไป

6. ค้นพบความงดงามของสิ่งต่างๆ รอบตัว

ลองค้นหาความงามและความน่าอัศจรรย์ใจของโลกใบนี้ และแสดงความซาบซึ้งออกมา กล่าวง่ายๆ คือ การรู้จักถ่อมตน คือการตระหนักว่าคุณไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้แหงนหน้าขึ้นฟ้า สายตาจับจ้องมองดวงดาว คนเราย่อมไม่สามารถยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองสำคัญที่สุดได้อีกต่อไป

 

Source : Success