จริงหรือไม่? ที่มนุษย์มีความรู้สึก ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว หากมองให้ลึกลงไปคุณอาจจะพบว่าความรู้สึกต่อต้านนี้เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ มนุษย์ทุกคนล้วนหวาดกลัวการรู้สึกอับอายขายหน้าที่ตัวเองดูด้อยกว่าคนอื่น และความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่เป็นต้นเหตุ
แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเราสามารถทำให้ตัวเราเองรู้สึกดีได้เมื่อต้องผลักดันตนเอง หรือ ปรารถนาที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เหนือความกลัวว่าตนจะรู้สึกด้อยความสามารถ?
ทั้งสองสิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง แต่เกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้น เราก็จะสูญเสียความกะตือรือร้นในการใฝ่หาความรู้ เมื่อเราไม่กะตือรือร้นเราก็จะยิ่งขี้เกียจมากขึ้น นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ แม้การพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ข้อเสียของมันก็คือ เราอาจกลายเป็นคนเฉื่อยชาได้ การโอนเอียงไปตามสภาพแวดล้อมย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ก็อย่างที่จอห์น เอฟ. เคนเนดี เคยกล่าวเอาไว้ว่า…
“ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการซ่อมหลังคาก็คือตอนที่แดดออก”
หมายความว่าเราควรแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ใช่รอเวลาจนจวนตัว
การให้คุณค่าต่อความลำบาก ความไม่สมดุล และความสับสนในจิตใจเป็นสิ่งทำให้เราเติบโตได้มากที่สุด ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรากล้าก้าวออกมาจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย
ในความเป็นจริงนั้น ความยากลำบากไม่ได้พาเราไปสู่ความล้มเหลว หากแต่เป็นความก้าวหน้า การหลีกเลี่ยงความยากลำบาก และอุปสรรคทำให้เราอยู่รอดก็จริง แต่การเข้าหามันต่างหากที่ทำให้เราได้พัฒนาตนเอง โดยคุณสามารถเริ่มได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดและนิสัย ตามข้อแนะนำ 6 ข้อ ต่อไปนี้…
1. ทบทวนสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่
คุณควรตั้งคำถามต่อตัวเองว่า สิ่งไหนที่คุณควรจะหยุดทำ สิ่งไหนที่คุณควรที่จะทิ้งไว้ข้างหลัง สิ่งไหนที่คุณจะต้องลืมมันไป สิ่งไหนที่คุณจะต้องเพิกเฉยเสีย นี่คือสิ่งสำคัญ หากคุณต้องการจะเติบโตและก้าวหน้าในชีวิต
2. ท้าทายสมมุติฐานของตัวเอง
เพียงเพราะเรามักจะทำในสิ่งใดด้วยวิธีเดิมๆ ไม่ได้แปลว่าเราควรใช้วิธีนั้นเสมอไป เพราะมันอาจกลายเป็น อคติแห่งประสบการณ์ กล่าวคือ การทึกทักเอาว่าวิธีการที่เราจัดการเรื่องต่างๆ เสมอนั้นถูกต้องแล้ว เราควรไตร่ตรองดูว่าความเชื่อใดเป็นต้นเหตุของการกระทำนั้นๆ ถ้าความเชื่อนั้นถูกต้องจริง กระนั้น ก็ยังมีวิธีการอื่นๆ ในการรับมือกับเรื่องดังกล่าวอีกมาก แต่ถ้ามันผิด คุณก็ควรลองค้นหาหนทางใหม่ๆ ได้แล้วล่ะ
3. ลองทำอะไรใหม่ๆ
การลองทำอะไรใหม่ๆ มักจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ในบางครั้งมันก็เกิดขึ้นจากการพบปะสนทนากับผู้คน สิ่งที่อาจดูเหมือนอุปสรรคกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความก้าวหน้า คุณสามารถเริ่มต้นด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น การลองทานอาหารแปลกใหม่ หรือทดลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ เพราะมนุษย์นั้นมักจะมองเห็นความแปลกใหม่ หรือความแตกต่างเป็นสิ่งอันตราย
4. ทบทวนจุดประสงค์ของหลักการเก่าๆ ที่คุณเคยเชื่อ
ในบางครั้งสิ่งที่มีค่าก็หายไประหว่างทาง หลักการเป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งมันก็อาจล้าสมัยได้ อย่าพลาดให้กับความน่าเชื่อถือของหลักการเหล่านั้น เพราะบางครั้งมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณทำ
5. มองภาพรวม
จงพยายามทำความเข้าใจชีวิต แล้วเส้นทางของคุณจะกระจ่างชัดมากขึ้น การเรียนรู้และการเติบโตไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความสามารถและทักษะเท่านั้น ยังต้องเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกัน มันอาจจะฟังดูยากหากคุณไม่ได้มองภาพรวม ว่าตัวตนของคุณคือใคร และคุณต้องการอะไร ซึ่งที่จะทำให้การเรียนรู้ของคุณก้าวไปสู่อีกระดับ
6. เชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรู้
การเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรู้ จะทำให้คุณกล้าลองทำในสิ่งใหม่ๆ เราไม่อาจพัฒนาตัวเองได้หากไม่เริ่มที่ความคิด และมันจะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากความยากลำบาก หรืออุปสรรคบ้างเป็นครั้งคราว
Source : Success