
“ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้มาก” – James Patterson
การมีสถานที่ประจำ หรือมุมประจำพร้อมกับหนังสือเล่มโปรดย่อมเป็นไอเดียที่ดี เพราะมันช่วยให้คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้คุณอาจเคยพูดกับตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าอยากจะอ่านให้มากกว่าเดิม แต่คุณกลับพบว่าตารางเวลาในแต่ละวันล้วนเต็มไปด้วยกิจกรรม นัดหมายสำคัญมากมาย คุณแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่การจะหยิบหนังสือดีๆ สักเล่มขึ้นมาอ่านดูจะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน
แต่หากคุณทำสำเร็จ คุณจะพบว่าการอ่านให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด การอ่านมีประโยชน์มากมายกับชีวิตคนเราในหลายแง่มุม จากการศึกษาของมหาวิยาลัยแสตนฟอร์ดพบว่าการอ่านช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งส่งให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้การอ่านหนังสือเป็นประจำยังช่วยเพิ่มสมาธิ และความเข้าใจโลกรอบตัวให้มากขึ้นอีกด้วย
วันนี้ทางเพจ ประสบความสำเร็จ มีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มานำเสนอ และมันจะทำให้คุณสามารถเริ่มต้นนิสัยรักการอ่านได้อย่างแน่นอน และนี่คือ 5 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณอ่านได้มากขึ้นเสียตั้งแต่ตอนนี้
1. ตั้งเป้าหมายในการอ่านให้ชัดเจน
คุณจะอ่านหนังสือให้ได้กี่เล่ม? แล้วจะอ่านให้จบตอนไหน? การระบุเป็นตัวเลขที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณติดตามความก้าวหน้าและให้รางวัลตัวเองได้ง่ายขึ้น Goodreads เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการติดตามรายการหนังสือ และตั้งเป้าการอ่านหนังสือทั้งปีของคุณ นอกจากนี้เพื่อนใน Facebook ยังจะสามารถเข้ามาติดตามความก้าวหน้าและให้กำลังใจคุณได้ผ่านทางแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้อีกด้วย
2. กำหนดเวลาอ่านที่แน่นอน
ระบุเวลาที่ชัดเจนสำหรับการอ่านหนังสือ เขียนลงไปในสมุด planner และจงให้ความสำคัญกับมันพอๆกับที่คุณให้ความสำคัญกับการกินและการนอน คุณอาจหาแอพพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวกอย่าง Evernote หรือถ้ามันยุ่งยากจนเกินไป นาฬิกาปลุกก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเพื่อเตือคุณว่าถึงเวลาที่ต้องอ่านหนังสือแล้ว อย่างไรก็ตาม คุณต้องเลือกเวลาที่คุณคิดว่าร่างกายและจิตใจของคุณพร้อมจริงๆ อย่างเช่นในตอนเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายและจิตใจของเราจะปลอดโปร่งมากกว่าช่วงเวลาอื่น จึงเหมาะอย่างยิ่งกับการอ่านหนังสือ
3. จัดพื้นที่อ่านให้แสนสบาย
สถานที่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เลือกที่ที่เงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนและทำให้เป็นที่อ่านหนังสือสำหรับคุณโดยเฉพาะ เลือกเก้าอี้ที่นุ่มสบาย และอาจมองหาโคมไฟและโต๊ะเล็กๆมาไว้ใกล้ๆก็นับเป็นความคิดที่ดี และสำคัญที่สุดเพื่อให้การอ่านของคุณเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ อย่านำหนังสือที่ยังอ่านไม่จบไปเก็บไว้บนชั้นเด็ดขาด แต่ให้นำมาวางที่ที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
4. เลือกรูปแบบหนังสือที่ชอบ
หากคุณกำลังสับสนว่าจะอ่านหนังสือรูปแบบไหนดีระหว่างหนังสือแบบอิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊คและหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆ ลองพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ข้อดีของหนังสือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์คือ สะดวก ใช้งานง่าย และมีลูกเล่นที่หลากหลายมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังจะหาเลขหน้าและตอนที่คุณต้องการอ่านได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว อีกทั้งตัวหนังสือและหน้าก็ยังสามารถปรับแต่งได้ตามใจคุณด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากคุณมีปัญหากับการอ่านตัวหนังสือเล็กๆ แต่หากข้อดีเหล่านี้ยังไม่ตอบโจทย์คุณ ลองพิจารณาหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆ ดู แน่นอนว่าหนังสือที่เป็นเล่มนั้นไม่จำเป็นต้องเสียบสายชาร์จให้ยุ่งยาก และยังสะดวกหากเพื่อนของคุณอยากยืมหนังสือเล่มโปรดของคุณไปอ่านบ้าง และแน่นอนหนังสือเป็นเล่มยังช่วยให้คุณได้พักสายตาจากการจ้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานๆได้อีกด้วย แต่สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหนังสือที่เป็นเล่มจริงๆก็คือ ความรู้สึกจากการได้สัมผัสเนื้อกระดาษในแต่ละหน้านั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเลือกหนังสือในรูปแบบใดๆก็ตามย่อมขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นเลือกในแบบที่เหมาะกับตัวคุณที่สุดจะดีกว่า
5. หมั่นเข้าห้องสมุด
แม้คุณจะไมได้เข้าห้องสมุดมานานแล้ว แม้ตอนนั้นคุณครูจะบังคับให้คุณเข้าก็ตาม แต่คุณควรลองดูสักครั้งนะ เพราะทุกวันนี้ห้องสมุดไม่ได้มีแต่หนังสือเก่าๆและชั้นหนังสือฝุ่นเขรอะอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากในห้องสมุดจะเต็มไปด้วยหนังสือใหม่ๆที่หลากหลายและน่าสนใจแล้ว ยังมีหนังสือเสียงอีกด้วย และเพราะการอ่านหนังสือในห้องสมุดนั้นคุณแทบไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว คุณจึงมีโอกาสได้อ่านหนังสือได้อย่างหลากหลายประเภท และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า “Overdrive” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดี เพราะมันช่วยคุณตรวจสอบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และหนังสือเสียงจากห้องสมุดท้องถิ่นโดยไม่คิดค่าบริการ
“จงอ่านให้มาก ทั้งก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพราะขณะที่คุณอ่าน จะเป็นช่วงเวลาที่คุณมีสมาธิมากที่สุด” – Theo James
Source : Success