ทั้งชีวิตที่ผ่านมา คุณอาจจะเคยถูกหาว่าเป็น “นักฝัน” เอาแต่เพ้อฝันไปวันๆ แต่ไม่ลงมือทำ คำว่า “นักฝัน” กับ “นักปฏิบัติ” เป็นสองคำที่ให้ความหมายแตกต่างกันมาก จากความรู้สึกแล้ว นักปฏิบัติย่อมฟังดูดีกว่า นักฝัน ใช่ไหมล่ะครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครเป็นแบบใดแบบหนึ่งได้ 100% เพียงแต่คุณอาจเลือกเน้นไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้นเอง และจงจำไว้อย่างหนึ่งว่าการเป็น นักปฏิบัติ นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีกว่าการเป็นคนช่างฝันเสมอไป คุณต้องใช้สองสิ่งนี้ร่วมกันเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ถ้าหากคุณเริ่มเกิดความไม่สมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ และแลดูมีเป้าหมายที่ฝันไว้เต็มไปหมด นี่คือช่วงเวลาที่คุณควรจะเริ่มเดินหน้าลงมือทำได้แล้ว ซึ่งวิธีเหล่านี้คือวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ที่จะทำให้คุณผันตัวเองจากนักฝันมาเป็นนักปฎิบัติ จำเอาไว้ว่าหากไม่รักษาสมดุลให้ดี คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย
1. เขียนเป้าหมายที่ต้องทำ รวมถึงกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
หากคุณคิดว่าคุณอยากจะเขียนนิยายสักเรื่อง เพื่อเสนอให้กับสำนักงานวรรณกรรมหรือสำนักพิมพ์ คุณจะต้องเขียนเป้าหมายและวางแผนสิ่งต่างๆ เอาไว้ อย่างเจาะจง เช่น คุณคิดว่าคุณจะใช้เวลาเขียนมันนานแค่ไหน? แล้วงานที่พร้อมส่งจะเป็นอย่างไร? และคุณสามารถแต่งเรื่องได้มากแค่ไหนในแต่ละวัน?
การกำหนดวันเวลาที่ชัดเจน หรือการทำกำหนดการแบบคร่าวๆ เอาไว้ เช่น ต้องทำ…ให้เสร็จ ภายในระยะเวลา…เดือน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนได้ผลเสมอไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายใดๆ ก็ตาม
2. สร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
ทุกครั้งที่คุณตัดสินใจว่า คุณอยากทำอะไรบางอย่าง ให้ลองเขียนแผนการเป็นรายการขั้นตอนต่างๆ ที่คุณควรทำออกมา แล้วเริ่มลงมือทำ ให้มันเกิดขึ้นจริง เช่น หากคุณต้องการจะเก็บเงินให้ได้สัก 300,000 บาท ภายในสิ้นปีนี้ คุณก็ควรสำรวจเงินเก็บที่คุณมี แล้วเขียนรายการที่จำเป็นต้องทำขึ้นมา คุณมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นส่วนไหนบ้างที่ควรตัดออก คุณต้องเพิ่มเวลาทำงานมากขึ้นหรือไม่ และต้องหางานเสริมเพิ่มไหม และต้องกินอยู่อย่างประหยัดอีกกี่วัน เป็นต้น
3. จงอยู่ในที่ๆ รายล้อมไปด้วยเหล่านักปฏิบัติ
“คนที่ชอบอะไรเหมือนกัน มักจะอยู่ร่วมกันได้” หากคุณรายล้อมไปด้วยคนที่เป็นนักฝัน เหล่านักฝันก็มักจะช่วยเติมเต็มความฝันให้กันและกัน แต่ถ้าหากคุณอยู่กับเหล่านักปฏิบัติล่ะก็ พวกเขาจะกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับคุณเลยทีเดียว
4. จงหยุดทำในสิ่งที่มันใช้ไม่ได้ผล
ทำไมคุณจึงยึดติดอยู่กับวิธีการเดิมๆ ที่ไม่ได้ผลอยู่อีกล่ะ? หากคุณเคยวาดฝันถึงอะไรสักอย่าง แต่ความพยายามของคุณกลับดูจะไม่ส่งผลดีอะไรให้เลย คุณก็ควรที่จะหยุดได้แล้ว ลองคิดและค้นหาดูใหม่ว่าอะไรคือผลลัพธ์ที่แท้จริงของมันกันแน่ จากนั้นลองใช้วิธีใหม่ๆ ดูบ้าง เพราะคุณไม่มีทางสมหวังได้ หากยังเดินหน้าทำตามความผิดพลาดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
5. จงคิดเสมอว่าทุกสิ่งล้วนต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามมากกว่าที่คิดไว้
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการเป็นคนช่างฝัน ก็คือการที่คิดว่าทุกๆ อย่างล้วนได้มาง่ายดายอย่างที่คาดเอาไว้ แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่ใช่เลย เพราะทุกๆ สิ่งมักต้องใช้ทั้งความพยายาม เงินตรา และเวลามากกว่าที่คาดเอาไว้ ดังนั้นเมื่อคุณได้ทำการร่างแผนการขึ้นมาแล้ว ให้ลองเผื่อเงินและเวลาเอาไว้เพิ่มอีก 10% ของความเป็นจริง เพื่อที่คุณจะได้มีพื้นที่เอาไว้รองรับสิ่งไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น
อย่าให้แรงผลักดันที่อยากจะเป็นนักปฎิบัติมาทำให้ความเป็นนักฝันของคุณจมหายไป เพราะความฝันล้วนเป็นแหล่งกำเนิดของ แรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้คุณไปถึงดวงดาวได้เช่นกัน ดังนั้น รักษาสมดุลของการเป็นนักฝันและนักปฎิบัติของคุณให้ดีด้วย
Source : Entrepreneur