3 สิ่งที่ความลังเลใจมักหลอกให้คุณเชื่อ จนทำให้ชีวิตการทำงานไม่ก้าวหน้าเสียที

2372

อย่าปล่อยให้ความสงสัยในความสามารถของตัวเองมาบั่นทอนความแข็งแกร่งของจิตใจคุณเสียหมด ระวังความคิดของคุณให้ดี การคิดว่า “ฉันว่าฉันเจรจาธุรกิจคราวนี้ไม่สำเร็จแน่เลย” หรือ “ฉันต้องทำขายหน้าต่อหน้าคนอื่นแน่ๆ” อาจส่งผลให้คุณรู้สึกแย่มากเสียจนกระทบกับการทำงาน และอาจจะล้มเหลวจริงๆ เหมือนที่คิดไว้เลยก็เป็นได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขอขึ้นเงินเดือนกับหัวหน้า โดยที่ยังไม่มั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำว่าคู่ควรกับเงินเดือนที่สูงขึ้นหรือเปล่า คุณอาจแสดงความไม่มั่นใจนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัวจนทำให้หัวหน้าเองก็ไม่ลังเลที่จะขึ้นเงินเดือนให้คุณเช่นกัน หรือ ถ้าคุณเอาแต่กลัวว่าตัวเองคงไม่ดีพอจนไม่กล้าสบตาใครเลยเวลาพบปะผู้คนในอีเวนต์ต่างๆ คุณก็อาจต้องเสียโอกาสในการสร้างคอนเนคชั่นใหม่ๆ ไป ซึ่งมันก็จะยิ่งย้ำให้คุณเชื่อว่าตัวเองยังไม่ดีพอจริงๆ   

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความคลางแคลงใจในตัวเองก็คือ มันมักมาจากความคิดลบที่เกินจริงและไร้ความเป็นเหตุเป็นผล แต่คนเราก็มักหลงเชื่อความคิดเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายอยู่ดี และนี่คือตัวอย่าง 3 สิ่งสำคัญๆ ที่ความคลางแคลงใจในตัวมักหลอกให้คุณเชื่อจนทำให้ชีวิตการทำงานไม่ก้าวหน้าเสียที 

 

1. คนอื่นๆ ล้วนมั่นใจในตัวเองทั้งนั้น

หากคุณกำลังจะต้องขึ้นนำเสนองาน กำลังจะออกตัวจากเส้นสตาร์ทการแข่งขัน หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณอาจเผลอคิดว่ามีแค่คุณเท่านั้นที่กำลังต่อสู้ในสมรภูมิความไม่แน่นอนนี้ เพราะคนอื่นๆ ก็ดูจะจัดการสถานการณ์ได้ดีทั้งนั้น แต่ความจริงก็คือทุกคนล้วนเคยประสบภาวะไม่มั่นใจในตัวเองทั้งนั้น คนรอบๆ ตัวคุณก็กำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่า พวกเขาดูน่าสนใจ ฉลาด หรือดีพอที่จะประสบความสำเร็จได้รึเปล่า แม้ว่าจากภายนอกพวกเขาอาจดูมั่นใจในตัวเองก็ตาม 

เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความไม่มั่นใจนี้หลอกเอาได้ว่าคุณไม่เหมาะสมหรือไม่พร้อมพอ เตือนตัวเองไว้ว่าไม่ว่าใครก็ต้องใช้ความพยายามเพื่อจะสร้างความมั่นใจในตัวเองให้ได้ทั้งนั้น แม้แต่ผู้คนที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม 

2. ความคิดลบคือสิ่งที่สัญชาตญาณพยายามบอกคุณ 

การคิดลบที่เกิดจากความไม่มั่นใจในตัวเองอาจทำให้คุณคิดว่า มันเป็นเพราะสัญชาตญานลึกๆ ของคุณที่บอกว่าคุณไม่ควรทำสิ่งนี้ แต่ทุกเมื่อที่คุณจะทำสิ่งที่อยู่นอกพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เจ้าความไม่มั่นใจนี่แหละที่จะโผล่มาคอยขัดขวางคุณเสมอ 

ไม่มีสิ่งใดการันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จเมื่อต้องทำสิ่งใดบนความเสี่ยง แม้จะไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคุณควรต้องปล่อยให้ความกลัวหรือความไม่แน่นอนมาหยุดคุณไว้ สัญชาตญานในการระแวดระวังปัญหาและไตร่ตรองตัวเองเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ความคลางแคลงใจในตัวเองนั้นต่างออกไป มันคือเสียงที่จ้องจะหลอกล่อให้คุณยอมแพ้และทำให้คุณเชื่อว่านี่แหละคือสิ่งที่สัญชาตญาณกำลังบอก 

3. ความคลางแคลงใจคือสิ่งที่บ่งชี้ว่าคุณไม่มีทางก้าวหน้าได้

การคิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้ไม่ได้แปลว่าคุณไม่สามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่ควรพยายามต่อนะ จริงๆ แล้ว ความรู้สึกแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน หากอยู่ในปริมาณที่พอดี มีงานวิจัยหลายชิ้นที่เสนอว่านักกีฬาชั้นนำทั้งหลายก็ได้ประโยชน์จากความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพราะมันส่งผลให้พวกเขาระมัดระวังมากเป็นพิเศษจึงทำฝีมือได้ดีกว่านักกีฬาที่มั่นใจในตัวเองเต็มที่ และเช่นเดียวกัน นักเรียนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็มักสอบได้คะแนนสูงกว่านักเรียนที่มั่นใจว่าตัวเองต้องทำได้ดี 

เตือนตัวเองว่าคุณก็สามารถใช้ประโยชน์จากความแคลงใจในตัวเองมาผลักดันให้ทำงานได้ดีขึ้นเช่นกัน ความหวั่นวิตกเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้คุณพยายามมากขึ้น เรียนหนักขึ้น หรือไม่ก็มีสมาธิมากขึ้นได้ 

ลองคุยกับเสียงด้านลบในใจตัวเองดูสิ

สมองจะพยายามโน้มน้าวใจให้คุณเชื่อว่าตัวเองทำไม่สำเร็จเพราะมันไม่อยากให้คุณออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง ซึ่งถ้าคุณคล้อยตามเสียงนั้น คุณก็จะไม่มีทางแสดงศักยภาพที่มีออกมาได้เต็มที่ จงแยกให้ออกว่าความคิดไหนที่จริง อันไหนที่ปรุงแต่งขึ้นมาเอง เช่น ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่น่าจะเลือกหวยใบที่ถูกรางวัลหรอก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณคิดถูก แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะ 

คุณไม่จำเป็นต้องขจัดความคลางแคลงใจในตัวเองไปจนหมดหากอยากประสบความสำเร็จ แค่ต้องเลิกหลงเชื่อเรื่องโกหกที่สมองพยายามป้อนให้คุณเท่านั้น การพินิจพิจารณาเสียงเหล่านี้ให้ลึกซึ้งและถี่ถ้วนจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของจิตใจ และทำให้คุณแสดงศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมาได้ในที่สุด

Source : inc-asean