สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาเรื่อง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (The Cultural Demographic Shift) หมายความว่า ผู้คนจากเชื้อชาติอื่น ๆ กำลังเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นจนไม่มีเชื้อชาติใด ที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศอีกต่อไป
เหล่าผู้นำส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีความพร้อมพอจะเปิดรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ จนหลายคนเชื่อว่าบทบาทของผู้นำจะเริ่มสูญหายไป เพราะผู้นำส่วนใหญ่เริ่มตามธุรกิจและการตลาดยุคใหม่ไม่ทัน มันไม่ใช่แค่เรื่องความเปลี่ยนแปลงของประชากร พวกเขามักสนใจในสิ่งที่ตนคิดว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด แทนที่จะเรียนรู้วิธีตอบสนองความต้องการที่หลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ของบรรดาพนักงานบริษัทและลูกค้า
เหล่าผู้นำมักจะมองหาหนทางลัดและพึ่งระบบเส้นสายแทนที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ในปัจจุบันเหล่าผู้นำมักจะใช้คารมในการประจบประแจง มากกว่าจะสรรสร้างความรู้ และแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่น พวกเขาใช้คำพูดหรูๆ เพื่อสร้างความประทับใจ แต่มันกลับก่อเกิดความสับสน และความแบ่งแยกแทน แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เริ่มสร้างความรำคาญให้ทั้งลูกจ้างและลูกค้าแล้ว ไม่ต่างอะไรกับบรรยากาศการเมืองของประเทศในปัจจุบันที่ครุกรุ่นไปด้วยความโกรธและไม่พอใจของประชาชน ดังนั้น การให้คำมั่นสัญญาลมแล้งๆ ไร้ซึ่งความจริงใจ จึงทำให้ผู้นำเหล่านี้หมดความน่าเชื่อถือลงทุกที
จากการกระทำเหล่านี้ทำให้พวกเขามักจะพลาดโอกาสดีๆ ไป และไม่สามารถควบคุมปัญหาเฉพาะหน้าได้ เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆ ที่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค่า ผู้นำควรหันมาใส่ใจกับปัจจัย
หลักสามอย่างของการเป็นผู้นำ ดังต่อไปนี้
1. เป็นตัวของตัวเอง
เหล่าผู้นำมักจะยึดติดกับหลักการเดิมๆ โดยไม่ยอมพัฒนาตนเองไปตามความต้องการของบริษัท หลักยึดเหล่านี้ทำให้พวกเขาสูญเสียความเป็นตัวเอง หรือไม่รู้ว่าควรพัฒนาต่ออย่างไร คนเป็นผู้นำจึงควรเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเพื่อจะพัฒนาตัวเอง เลิกเลียนแบบผู้อื่น และทำให้ตัวเองแตกต่าง โดยเฉพาะในด้านความคิด
แบรด ลี (Brad Lee) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท LightSpeedVT กลายเป็นต้นแบบของนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จโดยที่เป็นตัวของตัวเอง เขาได้อธิบายว่า…
“ผู้นำที่เป็นตัวของตัวเอง คือ นักคิดที่หลงใหลในความแตกต่างและเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาส พวกเขามักมีวิธีคิดที่คนอื่นไม่มี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่าง และยังมีอำนาจกว่าผู้อื่นด้วย จงเป็นตัวของตัวเอง และสนับสนุนให้ผู้อื่นกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองเช่นกัน”
2. มีความกล้า
ผู้นำส่วนใหญ่มักจะเอาแต่พูดถึงสิ่งที่ควรจะเปลี่ยนและปรับปรุงแต่กลับนิ่งเฉย ดังนั้นจงกล้าที่จะลงมือทำ
จงหลงใหลในการแสวงหาความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด ความกล้าหาญในการเป็นผู้นำไม่ได้ดูได้จาก เส้นทางที่คุณสร้างอย่างเดียว แต่ยังสามารถวัดได้จากสิ่งที่คุณแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ผู้นำที่กล้าหาญจะสอนให้ผู้อื่นรู้จักกล้าที่จะสู้กับความไม่แน่นอน ทั้งในโลกของธุรกิจและชีวิต โดยไม่ลืมคำนึงถึงสิ่งที่ผู้อื่นพานพบมา นำมาปรับใช้เป็นคำแนะนำที่จะพาพวกเขาไปยังจุดหมายปลายทาง
3. ทำตนเองให้เป็นที่น่าจดจำ
เหล่าผู้นำต่างพูดถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่คุณจะพัฒนาตัวเองยังไงล่ะ หากไม่คำนึงถึง การสร้างสิ่งที่จะตกทอดไปถึงวันข้างหน้า สำหรับผู้นำหลายๆ คน มรดกจะมีได้ก็ต่อเมื่อเลิกทำอาชีพนั้นๆ แต่ความเป็นจริงแล้วมรดกไม่ใช่สิ่งสำคัญที่คุณจะทิ้งไว้หลังจากไป แต่เป็นช่วงเวลาที่คุณใช้ร่วมกับผู้อื่น การตัดสินใจของคุณ การกระทำของคุณ และข้อผิดพลาดต่างๆ ที่คุณได้ทำต่างหาก คือสิ่งที่คุณได้ทิ้งไว้ ให้ผู้คนได้จดจำ
ในทุกๆ ช่วงของอาชีพ คุณต้องได้เรียนรู้ที่จะรังสรรสิ่งที่มีคุณค่าและยั่งยืน และหนึ่งในนั้นคือ ผลพลอยจากความสำเร็จต่อคนรอบข้างที่คอยสนับสนุนคุณมาตลอด เมื่อคุณสามารถทำให้ผู้อื่นศรัทธาในตัวคุณได้ ก็ถือว่าคุณได้สร้างหนทางไปสู่ความสำเร็จในการเป็นผู้นำของคุณแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีไปถึง ผู้ที่เกี่ยวข้อง และลูกค้าที่ใช้บริการจากคุณด้วย
การพัฒนาทักษะ 3 อย่างนี้จะทำให้ผู้นำได้เรียนรู้การเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ผู้นำที่สามารถ บ่งบอกได้ว่าควรใช้วิธีใดในเพิ่มผลกำไรที่บริษัทควรได้รับอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและไม่ตามใคร ดังนั้น จงเชื่อมั่นว่าในตนเอง ว่าจะสามารถพัฒนาตนเอง หรือทำให้พนักงานกับลูกค้ามีความพึงพอใจ มากขึ้นได้
Source: Entrepreneur