การพัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่งต้องอาศัยทั้งความพยายาม ความทุ่มเท และการฝึกฝนอย่างมีสติอยู่เสมอ ซึ่งเราก็อาจเริ่มได้จากการฝึกฝนใน 10 แนวทางต่อไปนี้…
1. มีเป้าหมาย
โดยธรรมชาติแล้ว สมองของมนุษย์เรามีแนวโน้มในการพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เป้าหมายใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่รวมไปถึงเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถจัดการได้ง่ายกว่าในระยะสั้นด้วย ไม่ว่าตอนนี้คุณกำลังต้องการอะไรอยู่ก็ตาม อย่าลืมที่จะตั้งเป้าหมายให้ชัด โฟกัสอยู่กับสิ่งนั้นให้มาก และไม่วอกแวกกับสิ่งที่ผ่านเข้ามา ยิ่งคุณบรรลุแต่ละเป้าหมายได้แล้ว คุณก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถประเมินได้ว่าเป้าหมายใดที่อยู่ไกลเกินเอื้อมถึง หรือเป้าหมายไหนที่ยังไม่ท้าทายเรามากพออีกด้วย
2. ใช้ชีวิตให้เอื้อต่อความสำเร็จ
การพัฒนาตนเองให้มีจิตใจที่เข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องบังคับตัวเองให้สามารถทนต่อสิ่งล่อใจในทุก ๆ วัน เพราะคุณสามารถใช้วิธีที่ง่ายกว่านั้นได้ โดยการปรับเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณนั่นเอง เช่น ถ้าหากคุณตั้งใจจะออกกำลังกายตอนเช้า ก็เพียงแค่เตรียม อุปกรณ์ให้พร้อมในตอนกลางคืน หรือหากตั้งใจที่จะกินคลีนเพื่อสุขภาพ ก็เพียงแค่กำจัด อาหารขยะไปให้พ้นตู้เย็นเท่านั้นเอง คุณจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับการพยายามห้ามใจตัวเอง ไม่ให้นอนต่อ หรือห้ามไม่ให้ตัวเองหยิบขนมกรุบกรอบขึ้นมาทานอีกต่อไป
3. อดทนต่อความลำบาก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ความลำบากมักจะนำไปสู่การแสวงหาทางลัดที่ไม่ค่อยให้ผลดีเท่าไหร่นัก เพราะแทนที่จะแก้ปัญหา คนส่วนใหญ่อาจพยายามมองหาทางเลือกอื่นที่จะช่วยให้ รู้สึกสบายใจในทันทีมากกว่า เช่นการหันมาดื่มแอลกอฮอล์ หรือการดูซีรีย์เรื่องโปรดไม่ยอมหลับยอมนอน โดยไม่ทันได้คิดว่าวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ เหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ระยะยาวกับเราในภายหลังก็ได้
ดังนั้น เราจึงควรฝึกการอดทนต่อความลำบากด้วยการย้ำเตือนตัวเองให้นึกถึงภาพรวมๆ ไว้เสมอ ตัวอย่างเช่น ผลักดันตัวเองให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายแม้ว่ามันอาจทำให้รู้สึกวิตกกังวล หรือบังคับตัวเองไปวิ่งออกกำลังกายแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยก็ตามที อย่าวิ่งหนีจากความไม่สะดวกสบายเลย เพราะยิ่งคุณทนมันได้มากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งมีความมั่นใจว่าตัวเองสามารถทำเรื่องยากๆ ได้มากขึ้น
4. จัดการความคิดในเชิงลบเสียใหม่
พยายามคิดบวกบนหลักเหตุและผล จัดการกับความคิดที่จะบ่อนทำลายตนเองเสียใหม่ แทนที่จะพูดกับตัวเองว่า “มันไม่มีทางสำเร็จหรอก” ก็ให้เปลี่ยนเป็น “ถ้าหากพยายามมากกว่านี้ โอกาสในการประสบความสำเร็จของฉันจะมีมากขึ้น”
จริงอยู่ว่าคุณไม่มีทางที่จะกำจัด ความคิดในแง่ลบไปทั้งหมดได้ เพราะไม่ว่าใครต่างก็มีวันแย่ๆ และหนทางที่ยากลำบากกันทั้งนั้น แต่หากคุณแทนที่ความคิดในแง่ลบด้วยการมองเห็นโอกาสที่เป็นไปได้ คุณจะสามารถก้าวต่อไปไและพร้อมรับมือกับวันแย่ๆ ได้อย่างแน่นอน
5. ใช้หลักเหตุผลมาถ่วงดุลอารมณ์ความรู้สึก
คุณจะสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่ออารมณ์และเหตุผลของคุณทำงานประสานกันอย่างสมดุลเท่านั้น เพราะถ้าหากการตัดสินใจบนพื้นฐานอารมณ์ทุกครั้ง คุณก็จะไม่มีทางมีเงินเก็บหลังเกษียณเพราะมัวแต่ใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีเพียงแค่ในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าในทำนองเดียวกัน หากการตัดสินใจทุกครั้งของคุณมีแต่เหตุและผล ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อาจทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ ขาดสีสัน ขาดชีวิตชีวา และความรักได้เช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน หรือเปลี่ยนงาน คุณควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเหตุผล และอารมณ์เสมอ หรือถ้าหากคุณเกิดรู้สึกแตกตื่นกระวนกระวาย ก็ให้เขียนรายการข้อดี ข้อเสียที่อาจตามมาหลังการตัดสินใจนั้นๆ โดยการอ่านทวนซ้ำรายการที่เขียนไปจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ใช้เหตุและผลได้ ซึ่งจะช่วยถ่วงดุลการใช้อารมณ์ได้ในที่สุด
6. พยายามทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ
การที่จะมั่นคงอยู่กับสิ่งที่ทำย่อมเป็นเรื่องยาก หากคุณยังไม่รู้ว่าเป้าหมายในภาพรวมของตัวเองคืออะไร เพราะเหตุใดคุณถึงอยากจะหาเงินให้มากขึ้น หรืออยากจะลับฝีมือให้ดีขึ้น?
ลองเขียนข้อความสั้นๆ แต่ได้ใจความถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จในชีวิตดู และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าก้าวต่อไปมันช่างยากลำบาก ก็ให้นำข้อความนั้นเป็นเครื่องเตือนใจว่าทำไมคุณถึงควรที่จะต้องไปต่อ สิ่งคำคัญคือให้ตั้งใจอยู่กับเป้าหมายของแต่ละวันด้วยความมั่นใจว่า แต่ละก้าวเล็กๆ เหล่านั้นจะต้องพาคุณไปให้ถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในระยะยาวให้ได้
7. มองหาคำอธิบาย ไม่ใช่ข้ออ้าง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจไว้ ให้หาว่าสาเหตุของมันคืออะไร หาคำอธิบายต่อความผิดพลาดเพื่อที่จะได้แก้ไขและพัฒนาในครั้งต่อไป ไม่ใช่หาข้ออ้างมาลบล้างการกระทำของตนเอง
จงรับผิดชอบในข้อบกพร่องใดๆ ที่เกิดขึ้น อย่าโทษผู้อื่นหรือเหตุการณ์ต่างๆ แทนความผิดพลาดของตัวเอง ที่สำคัญคือจงรับรู้และเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตนเองสร้างไว้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดซ้ำสองในอนาคต
8. ลองทำสักหนึ่งสิ่งที่ยากๆ ทุกวัน
คุณไม่มีทางที่จะพัฒนาได้โดยบังเอิญ ดังนั้นจงท้าทายตัวเองอย่างมีเป้าหมาย แน่นอนว่าสิ่งที่ท้าทายสำหรับคุณอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอื่น ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวเองให้ดี
จงเลือกสิ่งที่ยากสำหรับตัวคุณ แล้วค่อยทำไปทีละเล็กละน้อยในแต่ละวัน อาจเป็นแค่การกล้าพูดออกมาว่าตัวเองรู้สึกอึดอัด หรือลงเรียนวิชาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ จงผลักดันให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าที่เคยทำเมื่อวาน
9. ใช้กฎ 10 นาที
จิตใจที่เข้มแข็งไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกมีพลังได้ตลอดเวลาราวกับมีเวทย์มนต์ได้หรอก แต่มันสามารถช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล แม้คุณจะไม่รู้สึกอยากทำเลยก็ตาม
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกอยากเลิกทำอะไรบางอย่าง ให้นำกฎ 10 นาทีมาใช้ในทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อสายตาของคุณจับจ้องอยู่ที่โซฟาตัวนุ่มในขณะที่คุณกำลังวางแผนจะไปวิ่ง จงบอกตัวเองให้ลองขยับตัวไปมาสัก 10 นาที แล้วถ้าหากผ่านไป 10 นาที ความคิดนั้นยังคงไม่หยุดประท้วง ค่อยยอมให้ร่างกายได้หยุดอย่างที่ใจหวัง
การเริ่มต้นมักเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการทำอะไรสักอย่าง แต่หากคุณได้ลองทำไปสักก้าวหนึ่ง แล้ว คุณอาจรู้สึกได้ว่ามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้เสียทีเดียว และจากนั้นทักษะที่มีอยู่ก็จะช่วยให้คุณได้ก้าวต่อไปเอง
10. พิสูจน์ว่าตัวเองคิดผิด
หลังจากนี้ไป เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดว่าไม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้ จงพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าคุณคิดผิด เช่นการมุ่งมั่นออกกำลังกายให้เกินลิมิตที่เคยมี หรือการปิดการขายให้ได้มากขึ้นกว่าที่เคยทำได้สูงสุดเมื่อนานมาแล้ว
ความคิดของคุณมักจะอยากยอมแพ้ก่อนร่างกายเสมอ จงพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าคุณสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าที่คิด หลังจากนั้น สมองของคุณก็จะเลิกประเมินความสามารถคุณต่ำไปในที่สุด
Source : Success